คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันที่  29  พฤศจิกายน  2554
เนื้อหาที่เรียน  คือ
6.เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Children with Behavioral and Emotion Disoder)
- เด็กที่การควบคุมอารมณ์ไม่ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆได้
-เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
-ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบง่าย
แบ่งได้เป็น 2 ประเภท
-เด็กที่ได้รับคงามกระทบกระเทือนทางอารมณ์(อารมณ์รุนแรง , ไม่นิ่ง)
-เด็กที่ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้
        ♥ วิตกกังวล
        ♥ หนีสังคม
        ♥ ก้าวร้าว
การที่จะจัดว่าเด็กมีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ต้องคำนึง คือ
-สภาพแวดล้อม
-ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล
-ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็ก
-ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเดียวกับเด็ฏปกติ
-รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือครูไม่ได้
-มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเรียนเดียวกัน
-มีความคับข้องใจ และมีความเก็บกดอารมณ์
-แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปสดศรีษะ ปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย
-มีความหวาดกลัว
เด็กทีมีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ารุนแรงมาก
-เด็กสมาธิสั้น (Children with Attendtion Deficit and Hyperactivity Disoder)
-เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิสซึ่ม(Autism)

เด็กสมาธิสั้น ADHD
-เรียกย่อๆ ว่า ADHD
-เด็กที่ซน อยู่ีไม่นิ่ง ซนมากผิดปกติ เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
-เด็กบางคนมีปัญหาเรื่องสมาธิบกพร่อง อาการหุนหันพลันแล่น ขาดความยับยั้งชั่งใจ
      *เด็กเหล่านี้ทางการแพทย์จะเรียกว่า Attention Deficit Disoder (ADD)
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางอารมณ์และพฤติกรรม
-อุจจาระปัสสาวะรดที่นอน                                                -ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา ของใช้ในวัยทารก
-ดูดนิ้ว กัดเล็บ                                                                   -หงอยเหงาเศร้าซึม หนีสังคม
-เรียกร้องความสนใจ                                                         - อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
-ขี้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว                                                       -ฝันกลางวัน
-พูดเพ้อเจ้อ

7.เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างการเรียนรู้(Children with Learning Disabilities )
-IQ เท่ากับเด็ฏปกติทั่วๆไป
-เรียกย่อๆว่า L.D.(Learning  Disability)
-เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
-เด็กที่มีปัญหาทางการใช้ภาษาพูดหรือเขียน
-ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความบกพร่องทางร่างกาย
ลักษณะของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
-มีปัญหาในทักษะคณิตศาสตร์
-ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้
-เล่าเรื่อง / ลำดับเหตุการณ์ไม่ได้
-มีปัญหาด้านการเขัยน / อ่าน
-ซุ่มซ่าม
-รับลูกบอลไม่ได้ 
-ติดกระดุมไม่ได้
-เอาแต่ใจตนเอง

8.เด็กออทิสติก(Autistic)
-หรือออทิสซึ่ม(Autism)
-เด็กที่มีความบกพร่องอย่างรุนแรงในการสื่อความหมาย พฤติกรรม สังคม และความสามารถทางสติปัญญาในการรับรู้
-เด็กออกทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง
-ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต
      * ทักษะทางด้านภาษาและสังคมจะต่ำ  แต่ทักษะการเคลื่อนไหวกับการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรง จนาดและพื้นที่จะสูง
ลักษณะของเด็กออทิสติก
-อยู่ในโลกของตนเอง                                    -ไม่เข้าหาเพื่อนให้ปลอบใจ
-ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน                            -ไม่ยอมพูด
-เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ                                      -ยึดติดวัตถุ
-ต่อต้านหรือแสดงกิริยาอารมณ์รุนแรง และไร้เหตุผล
-มีท่าทีเหมือนคนหูหนวก                               
 -ใช้วิธีการสัมผัส และเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยวิธีการที่แตกต่างจากคนทั่วไป

9.เด็กพิการซ้ำซ้อน(Children with Multiple Handicaps)
-เด็กที่มีความบกพร่องมากกว่า 1 อย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
-เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
-เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
-เด็กหูหนวกและตาบอด




วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วันที่ 22 พฤศจิกายน 2556

เนื้อหาที่เรียน
4.เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical Health Impairments)
-เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
-อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหาย
-มีปัญหาระบบประสาท
-มีความลำบากในการเคลื่อนไหว
จำแนกได้เป็น 
1) อาการบกพร่องทางกาย 
ซี.พี. (Cerabral Palsy)
-การอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการหรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอดหรือหลังคลอด
-การเคลื่อนไหว การพูดพัฒนาล่าช้า เด็กซี.พี. มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่างของสมองแตกต่างกัน
อาการ -อัมพาต เกร็งแขนขาหรือกึ่งชัก(Spastic)
           -อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ(Athetoid)
           -อัมพาตสูญเสียการทรงตัว(Ataxia)
           -อัมพาตตึงแขน(Rigid)
           -อัมพาตแบบผสม(Mixed)
กล้ามเนื้ออ่อนแรง(Muscular distrophy)
-เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้นๆเสื่อมสลายตัว
-เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่
-จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม

โลกทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ(Orthopedic)
-ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อน เนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด(Spina Bifida)
-ระบบกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ(Infection) เช่น วัณโรค กระดูกหลังโก่ง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรัง มีหนอง เศษกระดูกผุ
-กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ 

โอลิโอ(poliomyelitis) 
มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
-ยืนไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสริม 
แขนขาด้วนแต่กำเนิด(Limb Deficiency)
โรคกระดูกอ่อน(Osteogenesis Imperfeta)

2.ความบกพร่องทางสุขภาพ
โรคลมชัก(Epilepsy)
-เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องจากความผิดปกติ
1)ลมบ้าหมู(Grand Mal)
-เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติและหมดความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น
2)การชักในระยะสั้นๆ(Petit Mal)
-เป็นอาการชักช่วงระยะสั้นๆ 5-10 วินาที 
-เมื่อเกิดอาการชักจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก
-เด็กจะนิ่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
3)การชักแบบรุนแรง(Grand Mal)
-เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้น2-5นาที จากนั้นจะหายและหลับไปชั่วครู่ 
4)อาการชักแบบ(Partial Complex)
-เกิดอาการเป็นระยะๆ
-กัดริมฝีปากไม่รู้สึกตัว ถูตามแขนขาเดินไปมา
-บางคนอาจเกิดตามความโมโหหรือโกรธหลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้และต้องการนอนพัก
5)อาการไม่รู้สึกตัว(Focal Partial)
-เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เกิดไม่รู้สึกตัวอาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตนเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
+โรคระบบทางเดินหายใจ +โรงเบาหวาน +โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์  +โรคศีรษะโต +โรคหัวใจ  +โรคมะเร็ง  +เลือดไหลไม่หยุด

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
-มีปัญหาเก่ยวกับการทรงตัว
-เดินขากะเผลก อืดอาด เชื่องช้า
-ไอเสียงแห้งบ่อยๆ
-มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
-หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจางบนแก้ม
-หกล้มบ่อย
-หิวและกระหายน้ำเกินกว่าเหตุ

5.เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา(Children with Speech and Language Disorders)
  เด็กที่พูดไม่ชัด ออกเสียงผิดเพี้ยน อวัยวะที่ใช้ในการพูดไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้น การใช้อวัยวะเพื่อการพูดไม่ไปตามตั้งใจ มีอากัปกิริยาที่ผิดปกติขณะพูด 
1)ความผิดปกติด้านการออกเสียง 
-ออกเสียงผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานของภาษาเดิม
-เพิ่มหน่วยเสียงเข้าในคำโดยไม่จำเป็น
-เอาเสียงหนึ่งมาแทนอีกเสียงหนึ่ง เช่น กวาดเป็นฝาด
2)ความผิดปกติด้านจังหวะ เวลาของการพูด เช่น การพูดรัว พูดติดอ่าง
3)ความผิดปกติด้านเสียง 
-ระดับเสียง ความดัง และคุณภาพของเสียง
4)ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องจาก พยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า Dysphasia 
4.1Motor Apasia
-เด็กที่เข้าใจคำถามหรือคำสั่งแต่พูดไม่ได้ ออกเสียงลำบาก
-พูดช้าๆ พอพูดตามได้บ้างเล็กน้อย บอกชื่อ สิ่งของพอได้
-พูดไม่ถูกไวยกรณ์
4.2Wernick "s Apasia
-เด็กที่ไม่เข้าใจคำถาม ได้ยินแต่ไม่เข้าใจความหมาย
-ออกเสียงไม่ติดขัดแต่มักใช้คำผิดๆหรือใช้คำอื่น ซึ่งไม่มีความหมายแทน
4.3Conduction Apasia
-เด็กออกเสียงได้ชัดเจน เข้าใจคำถาม แต่พูดตามหรือบอกชื่อไม่ได้ มักเกิดร่วมไปกับอัมพาตของร่างกายซีกขวา
4.4Mominal Apasia
-เด็กที่ออกเสียงได้ พูดตามได้ เข้าใจดี แต่ออกชื่อวัตถุไม่ได้ เพราลืมชื่อบางทีก็ไม่เข้าใจความหมายของคำ มักเกิดร่วมไปกับGerstman's syndome
4.5Global apasia 
-เด็กที่ไม่เข้าใจภาษาพูด ภาษาเขียน
-พูดไม่ได้เลย
4.6Sensory agraphia
-เด็กที่เรียนเองไม่ได้ เขียนตอบคำถามหรือเขียนชื่อวัตถุไม่ได้ มักเกิดร่วมกับ Gerstman's syndome 
4.7Motor Agraphia
-เด็กที่ลอกตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ไม่ได้
-เขียนตามคำบอกไม่ได้
4.8Cortical Alexia
-เด็กที่อ่านไม่ออกเพราะไม่เข้าใจภาษา
4.9Motor Alexia
-เด็กที่เขียนตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ เข้าใจความหมายแต่อ่านออกเสียงไม่ได้
4.10Gerstman's syndome
ไม่รู้ชื่อนิ้ว (Finger agnosia)
ไม่รู้ซ้ายขวา (Allochiria)
คำนวณไม่ได้(acalculia)
เขียนไม่ได้(agraphia)
อ่านไม่ออก(alexia)
4.11Visual agosia
เด็กที่มองเห็นวัตถุ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรบางทีบอกชื่อนิ้วตัวเองไม่ได้
4.12Aditory agnosia
-เด็กที่ไม่มีความบอกพร่องทางการได้ยิน แต่แปลความหมายของคำหรือประโยคที่ได้ยินไม่เข้าใจ
 ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
-ในวัยทารกมักเงียบผิดปกติ ร้องไห้เบาๆและอ่อนบาง
-ไม่อ้อแอ้ภายใน10เดือน
-ไม่พูดภายในอายุ2ขวบ
-หลัง3ขวบ และภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังไม่เข้าใจ
-ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้ 
-หลัง5ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
-มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
-ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย



วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วันที่ 15 พฤศจิกายน 2556
เนื้อหาที่เรียน คือ
ความหมาย ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ คือ
1.ทางการแพทย์ คือ เด็กพิการ(เด็กที่มีความผิดปกติ บกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญาและร่างกาย)
2.ทางการศึกษา คือ เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตนเอง จำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้ และการประเมินผล
           สรุป คือ เด็กที่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้การช่วยเหลือ และการสอนตามปกติ อาจมีสาเหตุมาจาก สภาพความบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์
-เด็กพิเศษจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ บำบัด ฟื้นฟู
-การจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
ประเภทของเด็กพิเศษ แบ่งได้2กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1.มีความสามารถสูง มีความเปนเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่วๆไป ว่าเด็กปัญญาเลิศ
2.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง กระทรวงศึกษาธิการ ได้แบ่งออกเป็น 9 ประเภท
1)บกพร่องทางสติปัญญา 2)ทางการได้ยิน 3)การมองเห็น 4)ทางร่างกายและสุขภาพ 5)ทางการพูดและภาษา 6)ทางพฤติกรรมและอารมณ์ 7)ปัญหาทางการเรียนรู้ 8)เด็กออทิสติก 9)เด็กพิการซ้ำซ้อน

1.เด็กบกพร่องทางสติปัญญา(Children with intellectual Disability) คือ เด็กที่มีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบกับเด็กอายุเดียวกัน มี2กลุ่ม คือ
1) เด็กเรียนช้า -สามารถเรียนในชั้นปกติได้
                       -เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
                      -ขาดทักษะในการเรียนรู้
                      -มีความบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย
                      -มีระดับสติปัญญา(IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า
-ภายนอก (เศรษฐกิจ ,การสร้างเสริมประสบการณ์,สภาวะทางด้านอารมณ์,การไม่เข้าเรียน,การสอนไม่มีประสิทธิภาพ)
-ภายใน(พัฒนาการล่าช้า,การเจ็บป่วย)
2)เด็กปัญญาอ่อน     -เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
                                -แสดงลักษณะเฉพาะ คือ ระดับสติปัญญาต่ำ
                                 -มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
                                 -มีความจำกัดทางด้านทักษะ
                                 -พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
                                 -มีความสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
แบ่งได้ 4 กลุ่ม ตามระดับ IQ
1)ปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQต่ำกว่า 20 ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่างๆได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2)เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัด การช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันเบื้องต้นง่ายๆ
      2 กลุ่มนี้ เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R. (Custodial  Mental Retardation)
3)เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49 พอที่จะฝึกอบรมและเรียนรู้ทักษะเบื้องต้นง่ายๆได้ สามารถฝึกอาชีพหรือทำงานง่ายๆที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้ เรียกโดยทั่วไป T.M.R. (Trainable Mentally Retardation)
4)เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 เรียนในประถมได้ ฝึกอาชีพและงานง่ายๆได้ เรียกโดยทั่วไปว่า E.M.R.(Educable Mentally Retardation)

ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
-ไม่พูด พูดได้ไม่สมวัย        -รุนแรงไม่มีเหตุผล
-ความสนใจสั้น วอกแวก     -อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
-ความคิด และอารมณ์แปรปรวน รอคอยไม่ได้
-กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน            -ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กปกติ

2.เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired) คือ เด็กที่มีความบกพร่องหรือสูญเสียการได้ยิน รับเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจน มี2ประเภท  คือ เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกได้ 4 กลุ่ม คือ
1)หูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 เดซิเบล เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบหรือเสียงจากไกลๆ
2)เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 เดซิเบล
-เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
-จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
-มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบาหรือเสียงผิดปกติ
3)เด็กที่ระดับหูตึงมาก ได้ยินระหว่าง 56-70เดซิเบล
-เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
-เมื่อพูดคุยด้วยเสียงที่ดังเต็มที่ก็ไม่ได้ยิน
-มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
-มีพัฒนาการทางภาษา และการพูดช้าผิดปกติ
-พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4)หูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90เดซิเบล
-เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
-ได้ยินเฉพาะเสียงที่ใกล้หูในระยะ1ฟุต
-การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
-เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
-เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางทีก็ไม่พูด
 เด็กหูหนวก คือ เด็กที่สูญเสียการได้ยินมาก ถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
-เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
-ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
-ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 เดซิเบล ขึ้นไป

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
-ไม่ตอบสนองต่อเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
-ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
-พูดไม่ถูกหลักไวยกรณ์
-พูดด้วยสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
-เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูดหรือจ้องหน้าผู้พูด
-รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือนการเคลื่อนไหวของรอบตัว
-มักทำหน้าเด๋อ เมื่อมีการพูดด้วย

3.เด็กบกพร่องทางการมองเห็น(Children with Visual Impairments)
-เด็กที่มองไม่เห็น หรือ พอเห็นแสงเห็นเลือนลาง
-มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
-สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1-10ของคนสายตาปกติ
-มีลานสายตากว้างไม่เกิน30 องศา
จำแนกได้ 2 ประเภท คือ เ็กตาบอด  และเด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด -เด็กไม่สามารถมองเห็นได้เลยหรือมองเห็นได้บ้าง
                   -ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
                   -มีสายตาข้างที่มองเห็นได้ในระยะ 6/60 ,/20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
                   -มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท  -เด็ที่มีความบกพร่องทางสายตา
                                -สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
                                -เมื่อทดสอบสายตาข้างที่ดี ก็จะอยู่ในระดับ 6/18 ,20/60,6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
                               -มีลานสายตาโดยสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะที่สังเกตได้
-เดินงุ่มง่ามชนและสะดุดวัตถุ
-มักบ่นว่าปวดหัว คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
-ก้มศรีษะชนกับคานหรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
-เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อใช้สายตา
-ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
-มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

 วันที่ 8 พฤศจิกายน 2556
- อาจารย์ได้พูดถึง Course Syllabus ว่าจะต้องเรียนเรื่องใดบ้าง มีงานอะไรบ้างที่ต้องทำ
-และสร้างข้อตกลงในการให้คะแนนในแต่ละส่วนว่ามีอะไรบ้าง
-อาจารย์ได้พูดถึงความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับความหมายของคำว่า เด็กพิเศษ คือ เด็กที่มีพัฒนาการผิดปกไปจากปกติ อาจจะช้าหรือเร็วกว่าวัยที่ควรจะเป็น
-และได้ให้ทำ mind mapping คำว่าเด็กพิเศษ คืออะไร