วันที่ 15 พฤศจิกายน 2556
เนื้อหาที่เรียน คือ
ความหมาย ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ คือ
1.ทางการแพทย์ คือ เด็กพิการ(เด็กที่มีความผิดปกติ บกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญาและร่างกาย)
2.ทางการศึกษา คือ เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตนเอง จำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้ และการประเมินผล
สรุป คือ เด็กที่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้การช่วยเหลือ และการสอนตามปกติ อาจมีสาเหตุมาจาก สภาพความบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์
-เด็กพิเศษจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ บำบัด ฟื้นฟู
-การจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
ประเภทของเด็กพิเศษ แบ่งได้2กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1.มีความสามารถสูง มีความเปนเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่วๆไป ว่าเด็กปัญญาเลิศ
2.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง กระทรวงศึกษาธิการ ได้แบ่งออกเป็น 9 ประเภท
1)บกพร่องทางสติปัญญา 2)ทางการได้ยิน 3)การมองเห็น 4)ทางร่างกายและสุขภาพ 5)ทางการพูดและภาษา 6)ทางพฤติกรรมและอารมณ์ 7)ปัญหาทางการเรียนรู้ 8)เด็กออทิสติก 9)เด็กพิการซ้ำซ้อน
1.เด็กบกพร่องทางสติปัญญา(Children with intellectual Disability) คือ เด็กที่มีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบกับเด็กอายุเดียวกัน มี2กลุ่ม คือ
1) เด็กเรียนช้า -สามารถเรียนในชั้นปกติได้
-เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
-ขาดทักษะในการเรียนรู้
-มีความบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย
-มีระดับสติปัญญา(IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า
-ภายนอก (เศรษฐกิจ ,การสร้างเสริมประสบการณ์,สภาวะทางด้านอารมณ์,การไม่เข้าเรียน,การสอนไม่มีประสิทธิภาพ)
-ภายใน(พัฒนาการล่าช้า,การเจ็บป่วย)
2)เด็กปัญญาอ่อน -เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
-แสดงลักษณะเฉพาะ คือ ระดับสติปัญญาต่ำ
-มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
-มีความจำกัดทางด้านทักษะ
-พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
-มีความสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
แบ่งได้ 4 กลุ่ม ตามระดับ IQ
1)ปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQต่ำกว่า 20 ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่างๆได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2)เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัด การช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันเบื้องต้นง่ายๆ
2 กลุ่มนี้ เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R. (Custodial Mental Retardation)
3)เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49 พอที่จะฝึกอบรมและเรียนรู้ทักษะเบื้องต้นง่ายๆได้ สามารถฝึกอาชีพหรือทำงานง่ายๆที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้ เรียกโดยทั่วไป T.M.R. (Trainable Mentally Retardation)
4)เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 เรียนในประถมได้ ฝึกอาชีพและงานง่ายๆได้ เรียกโดยทั่วไปว่า E.M.R.(Educable Mentally Retardation)
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
-ไม่พูด พูดได้ไม่สมวัย -รุนแรงไม่มีเหตุผล
-ความสนใจสั้น วอกแวก -อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
-ความคิด และอารมณ์แปรปรวน รอคอยไม่ได้
-กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน -ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กปกติ
2.เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired) คือ เด็กที่มีความบกพร่องหรือสูญเสียการได้ยิน รับเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจน มี2ประเภท คือ เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกได้ 4 กลุ่ม คือ
1)หูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 เดซิเบล เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบหรือเสียงจากไกลๆ
2)เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 เดซิเบล
-เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
-จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
-มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบาหรือเสียงผิดปกติ
3)เด็กที่ระดับหูตึงมาก ได้ยินระหว่าง 56-70เดซิเบล
-เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
-เมื่อพูดคุยด้วยเสียงที่ดังเต็มที่ก็ไม่ได้ยิน
-มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
-มีพัฒนาการทางภาษา และการพูดช้าผิดปกติ
-พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4)หูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90เดซิเบล
-เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
-ได้ยินเฉพาะเสียงที่ใกล้หูในระยะ1ฟุต
-การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
-เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
-เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางทีก็ไม่พูด
เด็กหูหนวก คือ เด็กที่สูญเสียการได้ยินมาก ถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
-เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
-ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
-ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 เดซิเบล ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
-ไม่ตอบสนองต่อเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
-ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
-พูดไม่ถูกหลักไวยกรณ์
-พูดด้วยสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
-เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูดหรือจ้องหน้าผู้พูด
-รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือนการเคลื่อนไหวของรอบตัว
-มักทำหน้าเด๋อ เมื่อมีการพูดด้วย
3.เด็กบกพร่องทางการมองเห็น(Children with Visual Impairments)
-เด็กที่มองไม่เห็น หรือ พอเห็นแสงเห็นเลือนลาง
-มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
-สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1-10ของคนสายตาปกติ
-มีลานสายตากว้างไม่เกิน30 องศา
จำแนกได้ 2 ประเภท คือ เ็กตาบอด และเด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด -เด็กไม่สามารถมองเห็นได้เลยหรือมองเห็นได้บ้าง
-ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
-มีสายตาข้างที่มองเห็นได้ในระยะ 6/60 ,/20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
-มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท -เด็ที่มีความบกพร่องทางสายตา
-สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
-เมื่อทดสอบสายตาข้างที่ดี ก็จะอยู่ในระดับ 6/18 ,20/60,6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
-มีลานสายตาโดยสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะที่สังเกตได้
-เดินงุ่มง่ามชนและสะดุดวัตถุ
-มักบ่นว่าปวดหัว คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
-ก้มศรีษะชนกับคานหรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
-เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อใช้สายตา
-ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
-มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น